หน้าที่สำคัญประการหนึ่งของกล้องวงจรปิดคือ การบันทึกภาพเหตุการณ์ย้อนหลังเอาไว้ เพื่อสามารถเปิดดูได้กรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันใดๆ ขึ้น และภาพดังกล่าวจะได้ใช้เป็นหลักฐานได้ ซึ่งการที่จะเก็บบันทึกภาพเหตุการณ์ย้อนหลังได้นานมากน้อยแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับขนาดของฮาร์ดดิสก์นั่นเอง การทำให้ระบบสามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ได้นานขึ้นมีอยู่ด้วยกันหลายวิธีดังนี้ครับ 1. แบบแรกเลย ก็คือเพิ่มขนาดฮาร์ดดิสก์ครับ สำหรับใครที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกติดตั้งระบบ ก็อาจจะยังพอมีเวลาทันที่จะพิจารณาเพิ่มขนาดฮาร์ดดิสก์ เช่น จากเดิมที่มากับเซ็ตที่ขายเป็นฮาร์ดดิสก์ขนาด 250GB ก็ขอเพิ่มเป็น 320GB หรือ 500GB หรือเบิ้ลเป็น 500GB 2 ลูก จะได้เป็น 1000GB หรือ 1Terabyte ไปเลย หรือในรายที่ติดตั้งระบบไปแล้วก็สามารถเพิ่มฮาร์ดดิสก์ด้วยตัวเองได้ 2. การเปลี่ยน VDO compression format หรือรูปแบบการบันทึก โดยปกติเครื่องบันทึกภาพจะมีฟังก์ชั่นให้เลือกได้ว่าคุณต้องการบันทึกในแบบใด เช่น บันทึกเป็นแบบ frame หรือบันทึกแบบ CIF 3. ลดความเร็วการบันทึก หรือ Recording Speed ในกรณีปกติการบันทึกแบบ frame ในระบบ PAL จะต้องบันทึกด้วยอัตราเร็ว (frame rate) 25 เฟรมต่อวินาที จึงจะเห็นภาพเคลื่อนไหวราบรื่นเป็นปกติ แต่เราสามารถลดความเร็วการบันทึกเฟรมลงได้ตามสเต็ปที่ระบบกำหนด ซึ่งส่วนใหญ่จะให้ลดกันไปทีละครึ่ง เช่น จาก 25 ไปเป็น 12.5, 6.25 และ 3.12 เฟรมต่อวินาที ตามลำดับ เช่นเดียวกันในการบันทึกแบบ CIF ที่สามารถลดความเร็วลงได้ เริ่มต้น จาก 100 เป็น 50, 25, 12.5 เฟรมต่อวินาที ตามลำดับ (อ้างจากเครื่องบันทึกภาพแบบ 4 chanels) อย่างไรก็ตามการลดความเร็วการบันทึกนี้จะทำให้ไฟล์ภาพเหตุการณ์ลดขนาดลง แต่ผลที่ตามมาก็คือ ภาพย้อนหลังจะเป็นภาพกระตุกๆ ยิ่งลดลงมากยิ่งกระตุกมาก เพราะใน 1 วินาที ระบบได้บันทึกภาพจำนวนเฟรมน้อยลงนั่นเอง 4. อีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ฮาร์ดดิสก์บันทึกได้นานขึ้น คือการลดคุณภาพของภาพเหตุการณ์ที่บันทึก หรือ Image Quality ซึ่งจะมีให้เลือกเป็น best, high, normal, basic เราสามารถตั้งค่าคุณภาพตรงนี้ได้ ยิ่งลดมาก ก็ยิ่งช่วยลดขนาดไฟล์ภาพเหตุการณ์ลง แต่ก็จะได้ภาพเหตุการณ์ที่คุณภาพด้อยลงด้วยเช่นกันครับ 5. ตั้งค่า Motion Detection เครื่องบันทึกภาพรุ่นใหม่ๆ เดี๋ยวนี้มีฟังก์ชั่นนี้กันแทบทุกยี่ห้อแล้วครับ อันที่จริงนับว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยให้ฮาร์ดดิสก์ที่มีอยู่สามารถบันทึกได้นานขึ้นครับ เพราะวิธีอื่นที่กล่าวมาข้างบนนั้น (ยกเว้นวิธีแรกคือการเพิ่มฮาร์ดดิสก์ครับ) ล้วนแต่ทำให้คุณภาพของภาพเหตุการณ์ที่ได้ด้อยลงทั้งนั้น แต่ก็เป็นหนทางที่ช่วยให้ใช้พื้นที่ฮาร์ดดิสก์ที่มีอยู่ได้นานขึ้นจริงๆ Motion Detection เป็นการตั้งค่าให้เครื่องบันทึกภาพทำการบันทึกเมื่อมีการเคลื่อนไหวผ่านหน้ากล้องในบริเวณที่เรากำหนด หากไม่มีการเคลื่อนไหวในบริเวณนั้นเลยระบบก็จะไม่บันทึก ซึ่งในการตั้งค่านี้สามารถเลือกเอาส่วนพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลาออกไปได้ เช่น บริเวณที่จับภาพใบไม้ที่เคลื่อนไหวเพราะลมพัดตลอดเวลา ทำให้ระบบไม่มองการเคลื่อนไหวในส่วนนั้น และไม่ทำการบันทึกแม้จะมีการเคลื่อนไหวในบริเวณนั้น นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าความอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหว ยิ่งอ่อนไหวมากระบบก็จะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวมาก กล่าวคือ หากมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยระบบก็จะทำการบันทึกทันที ดังนั้นจะเห็นว่าวิธีนี้จะใช้ไม่ค่อยได้ผลนักกับสถานที่ติดตั้งกล้องที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาครับ ที่แนะนำมาทั้งหมดนี้ก็เป็นทางเลือกง่ายๆ ที่จะช่วยให้เราใช้พื้นที่ฮาร์ดดิสก์ที่มีอยู่ได้นานขึ้นครับ โดยใช้คุณสมบัติในการทำงานของเครื่องบันทึกภาพเข้ามาช่วย แต่เราก็ควรเลือกให้เหมาะสมครับเพราะไม่เช่นนั้นก็จะทำให้ได้ภาพเหตุการณ์ย้อนหลังที่ไม่ชัดเจน ซึ่งก็ไม่มีประโยชน์จริงมั๊ยครับ ตารางเปรียบเทียบการบันทึก
ระยะเวลาในการบันทึก ( +, – ) ไม่เกิน 5% ที่มา : thaicctvclub |